ศิลปะกลายเป็นของโชว์ประเภทหนึ่งที่ขึ้นอยู่กับเงินและการศึกษา

14

ศิลปะจะเพื่ออะไรก็ตามถ้าหากศิลปะนั้นไม่มีชีวิตศิลปะนั้นก็ไม่มีพื้นที่ที่จะรับใช้อะไรทั้งสิ้นประวัติศาสตร์ศิลปะในบ้านเรายังไม่มีภาพรวมที่ทำให้มองเห็นความเป็นมาและมีบทสรุปชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ศิลปะของทางตะวันตกแล้ว เราจะเห็นว่าของเขาจัดเป็นระบบและมีข้อมูลชั้นต้น ชั้นสอง ชั้นสาม ให้ศึกษารับรู้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวไม่ว่าจะเป็นสมัยเก่าหรือสมัยใหม่ แต่ของเรา เก่าก็ยังไม่เป็นระบบ ส่วนใหม่ก็กระจัดกระจายกันไปแบบตัวใครตัวมัน โดยมีคำว่า ใจรัก มาหล่อเลี้ยงให้หลอกตัวเองไปเรื่อยๆ เราไม่มีระบบในแง่การจัดหมวดหมู่ที่จะเชื่อมโยงกันให้เห็นภาพรวมทั้งหมด เอาแค่หอศิลป์ระดับชาติ หรือแม้แต่หอสมุดแห่งชาติก็มีปัญหา ทั้งในแง่นโยบายและตัวบุคคล ว่าไปแล้วโรงอาบอบนวด หรือร้านคาราโอเกะ ยังมีระดับของการจัดหมวดทางรสนิยมให้เห็นมากกว่าเสียด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็นว่าเป็นศิลปะมาแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียน ดนตรีหรือวรรณคดีเข้าใจว่าศิลปะในอดีตนั้นมีลักษณะที่รับใช้สิ่งที่เรียกว่าอุดมคติมากกว่าศิลปะในปัจจุบันอุดมคติในที่นี้ อาจหมายถึง สวรรค์ โลกหน้า พระมหากษัตริย์หรือพุทธศาสนาหรืออะไรก็แล้วแต่ เห็นได้ชัดว่ามันถูกตีความเอาไปรับใช้อย่างแน่นอน ปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน ศิลปะถูกมองว่าเป็นตัวสินค้าที่จะนำไปบริโภค ศิลปะตกอยู่ในวงล้อมของรสนิยมแบบคนชั้นกลาง เหมือนที่ครั้งหนึ่งศิลปะตกอยู่ในวงล้อมของกษัตริย์หรือบรรดาขุนนางผู้มีอำนาจ ศิลปะในปัจจุบันคือการบริโภคทางรสนิยมที่ถูกปลูกฝังด้วยค่านิยมและทัศนคติต่างๆ ร้อยแปด ศิลปะกลายเป็นของโชว์ประเภทหนึ่งที่ขึ้นอยู่กับเงินและการศึกษา

ฉะนั้นสรุปภาพกว้างๆ ของศิลปะจึงเกี่ยวข้องกับสังคมอย่างแน่นอน แต่จะเกี่ยวข้องหรือมีความผูกพันในเชิงอุดมคติมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้ยังมีปัญหา  รายละเอียดการทำงานศิลปะในแต่ละสาขานั้น เมื่อพูดถึงศิลปะสมัยใหม่ หรือศิลปะที่ปรากฏในปัจจุบันนั้น ผมเข้าใจว่ามันมิได้เป็นมรดกของชนชั้นใดชนชั้นหนึ่งโดยเฉพาะอีกต่อไป ศิลปะไม่ได้อยู่ที่วัด ไม่ได้อยู่ที่วัง แม้ในปัจจุบันจะมีภาพออกมาว่าอยู่ที่พ่อค้า แต่พ่อค้าก็มิได้มีอยู่กลุ่มเดียวพวกเดียว พ่อค้าก็มีรสนิยมต่างๆ กันไป สิ่งที่ปรากฏในปัจจุบัน ศิลปะจึงแตกตัวไปหลายอย่าง และก็มีหลายสาขา มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน อย่างที่บอกว่า ศิลปะนั้นส่องทางให้กัน ศิลปะกับสังคมปัจจุบันไม่มีการจำกัดทางรสนิยม คือมันไม่ได้ผูกขาดอยู่ที่ชนชั้นใดชนชั้นหนึ่งทั้งในเรื่องรูปแบบและเนื้อหา ผมไม่อยากเรียกว่ามันเป็นประชาธิปไตยทางศิลปะ แต่ก็ดูเหมือนมันเป็นเช่นนั้น จนบางครั้ง บางยุค จะกลายเป็นอนาธิปไตยเสียด้วยซ้ำ